ทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์
ทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร
#วันนี้ในอดีต
8 มิ.ย.2559
ภายใต้การบริหารงานสมัยรัฐบาลทักษิณ พรรคไทยรักไทย ช่วงปี 2544 - 2545
นายชูชีพ
หาญสวัสดิ์ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และนายวิทยา
เทียนทอง อดีต ส.ส.สระแก้ว พรรคไทยรักไทย จำเลยที่ 1 - 2 ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2559 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต
ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
(ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 17 โดยร่วมกัน
#ทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 367 ล้านบาท
จากกรณีเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2544 - 20 ก.ย. 2545 จำเลยได้ร่วมกันทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยอัยการสูงสุด ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2558
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และได้ประกันตัว ในชั้นไต่สวน
ประชาธิปไตยกินได้
บทเรียนโกงปุ๋ยอินทรีย์
ขอสรุปไว้เป็นบทเรียน ดังนี้
1. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พิพากษาจำคุก คนละ 6 ปี นายชูชีพ หาญสวัสดิ์
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีต สส.ปทุมธานี
และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ
อดีต สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
หรือโดยทุจริต
คำพิพากษาชี้ชัดว่า
มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงให้เห็นถึงข้อพิรุธหลายประการว่า
การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งนี้มีความผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริต
มีการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลผู้ประกอบธุรกิจ
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร
ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า มีการร้องเรียนจากหลายฝ่ายว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้
เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน ฯลฯ แล้วชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยฯ
ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนได้อย่างแท้จริง
จนต่อมามีคำพิพากษาวินิจฉัยด้วยว่า ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยฯ
เป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยมีการปฏิบัติที่ส่อไปในทางไม่สุจริต ข้อเท็จจริงดังกล่าว
จึงบ่งชี้ว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ มีความผิดปกติมาตั้งแต่ต้น กรณีนี้
นักการเมือง ระดับนโยบาย จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้
2 โครงการนี้
เกษตรกรส่วนใหญ่ ต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมี
แต่มีการเปลี่ยนแปลงความช่วยเหลือเกษตรกรเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ทำการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งเดียว
เป็นจำนวนมากถึง 140,637,880 กิโลกรัม
ด้วยการรวบรวมความช่วยเหลือหลายภัยพิบัติ
มาดำเนินการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในคราวเดียวที่ส่วนกลางประกอบด้วย
ภัยจากกรณีฝนทิ้งช่วง อุทกภัยจากร่องความกดอากาศต่ำ อุทกภัยจากพายุดีเปรสชั่นอุซางิ
และภัยแล้งปี 2545 ทำให้ต้องมีการจัดซื้อจำนวนมาก
ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนขัดต่อข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. การรวมจัดซื้อที่ส่วนกลางจำนวนมาก
ทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตที่จะเข้าเสนอราคาจะต้องวางเงินประกันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัสดุฯ ร้อยละห้า
การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ ต้องวางหลักประกันซอง เป็นเงิน 20 ล้านบาทเศษ
ทำให้ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการที่มีความพร้อมด้านการเงินสูงเท่านั้น
ที่สามารถเข้าเสนอราคาได้ ส่งผลให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย
โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ
ได้สอบปากคำผู้ประกอบการที่ซื้อซองประกาศประกวดหลายรายให้ถ้อยคำว่า
ไม่สามารถยื่นเสนอราคาได้ เพราะเหตุไม่สามารถหาหลักประกันซองได้
4. การรวมจัดซื้อปริมาณมากเช่นนี้ รวมที่ส่วนกลาง ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในขั้นตอนหรือกระบวนการจัดซื้อได้ง่าย ข้ออ้างว่า การจัดซื้อที่ส่วนกลางเพราะต้องส่งปุ๋ยอินทรีย์ไปตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิชาการเกษตรและกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งตั้งอยู่ส่วนกลาง และเพื่อจะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ฟังไม่ขึ้น เพราะการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ความว่า มีหน่วยราชการในภูมิภาคที่สามารถตรวจวิเคราะห์ปุ๋ยอินทรีย์ ตามเงื่อนไขแนบท้ายประกาศประกวดราคาได้ 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด 1 แห่ง จังหวัดขอนแก่น 1 แห่ง และในจังหวัดนราธิวาส 1 แห่ง โดยแหล่งผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่จะตรวจวิเคราะห์ส่วนมากก็กระจายอยู่ตามต่างจังหวัด การกระจายให้หน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้จัดซื้อ ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่า
5. มีการกำหนดให้ผู้มีสิทธิเสนอราคา
จะต้องมีผลงานการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
ภายใต้สัญญาเดียวในวงเงินไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
ทำให้มีผู้ผลิตปุ๋ยทั้งระบบที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ที่กำหนดเพียง 7 ราย จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจำกัดผู้มีสิทธิเสนอราคาให้น้อยลง
นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดว่า
ผู้เสนอราคาต้องมีสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเดียวกับที่ยื่นซองเสนอราคาจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ
50 ของจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อทั้งหมด
แต่ในการไต่สวนได้ข้อเท็จจริงว่า ไม่มีผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์รายใดมีจำนวนสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์มากถึงร้อยละ
50 หรือ 70,318,940 กิโลกรัม
แม้แต่รายเดียว จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอราคาที่ไม่สมเหตุผล
และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
6. ฮั้ว ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า กระบวนการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวนี้ มีความผิดปกติและส่อพิรุธหลายประการ ทั้งๆ ที่ กรมส่งเสริมการเกษตรเคยจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์มาหลายครั้ง ย่อมมีข้อมูลของผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติมย่อมสามารถขอจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานมีหน้าที่รับแจ้งสถานที่ผลิตจากผู้ผลิตตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตามฟ้องได้มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
7. นักการเมืองรู้
หรือควรรู้ว่ามีการฮั้ว แล้วประวิงเวลาจนเซ็นต์สัญญา
ศาลฎีกาฯ
ระบุข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2545 ระหว่างที่กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์
นายวิชัย ชัยจิตวณิชกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี มีหนังสือถึงนายชูชีพ
ผ่านนายเจริญ จรรย์โกมล ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า
การประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร
มีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางทุจริต
นายชูชีพสั่งการให้นายเจริญดำเนินการตรวจสอบและมีการจัดประชุม
ที่ประชุมอภิปรายเกี่ยวกับเงื่อนไขในการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์หลายประการ
เช่น ราคาที่มีผู้เสนอราคาสูงกว่าความเป็นจริงมากทำให้สงสัยว่า จะมีการสมยอมราคา
การรวมจัดซื้อปริมาณมากที่ส่วนกลาง ทำให้ผู้เสนอราคารวมค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
และต้องมีเงินประกันสูง ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมเสนอราคาน้อยราย
ทำให้รัฐได้สินค้าในราคาสูงเกินจริง แต่หลังจากการประชุม
นายเจริญกลับไม่ได้มีการรายงานผลการประชุมให้นายชูชีพทราบ
และไม่ได้มีการพูดคุยกับนายชูชีพ
ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของรัฐมนตรีผู้มีอำนาจมีหน้าที่กำกับดูแล
ที่มีการกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่งบประมาณของกรมส่งเสริมการเกษตรและเกษตรกรผู้ประสบภัย
พฤติการณ์ของนายชูชีพ (จำเลยที่ 1) ที่ละเลยการตรวจสอบการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์นับเป็นข้อพิรุธ
ข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่า ในวันที่ 13 สิงหาคม 2545 คณะอนุกรรมาธิการฯ
ในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
ได้เรียกอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรไปชี้แจงเกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์
และได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายชูชีพ ผ่านนายวิทยา (จำเลยที่ 2) ขอให้ระงับการทำสัญญาซื้อปุ๋ยอินทรีย์
เนื่องจากคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นฯ
น่าเชื่อว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์มีข้อพิรุธ และไม่เหมาะสมหลายประการ ปรากฏว่า
นายชูชีพเพียงแต่เรียกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง
ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ถูกร้องเรียน มาชี้แจงเท่านั้น
แทนที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการคนกลางมาทำการตรวจสอบเพื่อให้ได้ความกระจ่างชัด
ต่อมา
เมื่อปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำบันทึกข้อความ ลงวันที่ 10 กันยายน 2545 ถึงนายชูชีพ ผ่านนายวิทยา
อ้างถึงคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ในวันรุ่งขึ้น
นายวิทยาให้เจ้าหน้าที่ประสานงานไปยังสภาผู้แทนราษฎร จนได้โทรสารหนังสือของนายสุพล
ฟองงาม ประธานอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ลงวันที่ 11
กันยายน 2545 ถึงนายวิทยา
แล้วนายวิทยารีบเกษียณสั่งในบันทึกข้อความของปลัดฯ ว่าบัดนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ
รับทราบแล้ว จึงเห็นควรรับราคา
นายชูชีพก็ลงนามเห็นชอบและอนุมัติรับราคาในวันเดียวกัน พฤติการณ์ดังกล่าว
ศาลชี้ชัดว่าจำเลยทั้งสองบิดเบือนข้อเท็จจริง
และเร่งรีบในการอนุมัติรับราคาการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้
ต่อมา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2545
นายสุพล ฟองงาม มีหนังสือด่วนที่สุด
ว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวน่าจะไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
จึงขอให้กรมส่งเสริมการเกษตรระงับการลงนามทำสัญญาไว้ก่อนเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรของรัฐ
โดยสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2545 แต่นายชูชีพลงนามรับทราบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 อันเป็นเวลาหลังจากกรมส่งเสริมการเกษตรทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์กับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย
จำกัด แล้ว
ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยทั้งสองประวิงเวลาให้ล่าช้า จนกรมส่งเสริมการเกษตรลงนามในสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์แล้ว จึงมาลงนามรับทราบ นายชูชีพและนายวิทยา มีความผิดตามกฎหมายฮั้ว และกฎหมายอาญา มาตรา 157 ศาลให้ลงโทษตามกฎหมายฮั้ว จำคุกคนละ 6 ปี
ที่มา :
ฎีกาสั่ง 6
ปีไม่รอลงอาญา 'ชูชีพ' อดีตรมว.เกษตร
ฮั้วจัดซื้อปุ๋ย
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/701670?fbclid=IwAR0oHL6SWeYkx5kjW3Sio0AXyCbDp6M-Up9382stWrqIUJ8fte7wBRZtWM4
ประชาธิปไตยกินได้
บทเรียนโกงปุ๋ยอินทรีย์
https://www.naewna.com/politic/columnist/38238
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น